SME 4.0
การขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศไทยขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และกลุ่มธุรกิจไม่กี่กลุ่ม
แต่ในขณะเดียวกัน 90% ขององค์กรธุรกิจไทยคือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม
หรือ SME ที่ถึงแม้จะอยู่หรือไปในยุค 4.0...ยุคแห่งการปฏิวัติเทคโนโลยี
ที่มาพร้อมกับคำเตือนคำขู่ที่มาถี่ขึ้นว่าในอีกไม่ช้าตำแหน่งงานหลายร้อยล้านตำแหน่งในตลาดแรงงานจะถูกทดแทนด้วยปัญญาประดิษฐ์
หรือ Artificial Intelligence (AI)
...ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มนี้
เศรษฐกิจไทยสะดุดแน่นอน และอาจทำให้เป้าหมายในการมีเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างอื่นเป็นไปได้ยากมากขึ้น
งานสัมมนาทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 2561 โดยสมาคมเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์
มีความเป็นห่วงเรื่องนี้
จึงระดมสมองนักเศรษฐศาสตร์ดาวรุ่งของสมาคมมาช่วยกันหาทางออกให้ SME ไทยก้าวไปอย่างมั่นคงกับ
Thailand 4.0
ดร.
กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัย จาก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ TDRI
มองว่า ขณะนี้
หลายสำนักทั้งของภาครัฐและภาคเอกชนคาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตจากปีที่แล้วใกล้
4% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงที่สุดตั้งแต่ปี 2555
การขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้เป็นไปตามการฟื้นตัวของตลาดส่งออกหลักของไทย ซึ่งส่งผลให้การส่งออกในปีนี้เติบโตได้เกือบ
10% รวมถึงการท่องเที่ยวก็ฟื้นตัวจากปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตามธุรกิจ SME ส่วนใหญ่กลับไม่รู้สึกถึงอานิสงส์ของการเติบโตของการส่งออกและการท่องเที่ยวมากนัก
เนื่องจากการขยายตัวนั้นกระจุกอยู่ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว
และอยู่ในจังหวัดท่องเที่ยวหลักของประเทศไทย ซึ่งไม่เกิน 10 จังหวัด
จึงทำให้การกระจายรายได้ไปไม่ถึงกลุ่มคนส่วนล่างโดยรวมสักเท่าใด
จึงมีคำกล่าวถึงลักษณะการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ว่าเป็นการเติบโตแบบกระจุก
แข็งนอก อ่อนใน และแข่งบน อ่อนล่าง
ขณะที่
ดร. อมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักวิจัย ธนาคาร CIMB Thai เตือนว่าหากประเทศไทยต้องการเดินหน้าเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า
Thailand 4.0 ได้อย่างประสบความสำเร็จ
เราต้องหาหนทางเร่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้
เพราะถ้าแรงงานของไทยยังไร้ฝีมือ ขาดทักษะในการประกอบกิจการ
หรือไม่สามารถตามเทคโนโลยีได้ทันแล้ว
การลงทุนด้านนวัตกรรมที่ประเทศไทยหวังจะเพิ่มมูลค่าการผลิต เข้าสู่ Thailand
4.0 ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จ
อย่าลืมว่าประเทศไทยในปัจจุบันกำลังมีปัญหาขาดแคลนแรงงานมีทักษะ
ขณะที่จำนวนแรงงานก็กำลังมีแนวโน้มลดลงตามภาวะสังคมสูงอายุ
แต่การแก้ปัญหาที่ผ่านมากลับคล้ายว่าเป็นการเลี่ยงการเผชิญหน้ากับปัญหา
นั่นคือการใช้แรงงานต่างด้าว เพื่อทดแทนแรงงานด้อยฝีมือที่ขาดแคลน นั่นเท่ากับปิดกั้นไม่ให้เราก้าวเดินไปข้างหน้า
ก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมต้นน้ำ
ไต่ระดับขึ้นบนห่วงโซ่อุปทานภาคการผลิตที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น
อีกทั้งย้ายฐานการลงทุนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ที่ค่าแรงถูกกว่า และมีแรงงานมาก
แม้การเดินหน้าแก้ปัญหาดังกล่าวได้ช่วยประคองให้ธุรกิจอยู่รอดได้ในภาวะที่เศรษฐกิจไทยเติบโตช้า
แต่ในระยะยาว อาจไม่เป็นผลดีต่อศักยภาพการเติบโตของประเทศ
ดังนั้น
การเดินหน้าเพื่อปฏิรูปเศรษฐกิจเข้าสู่ยุค Thailand 4.0
จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้กับการยกระดับอุตสาหกรรมไทย แต่แนวทางนี้ใช่ว่าจะราบรื่นเสมอไป
เพราะการเดินหน้าเข้าสู่ Thailand 4.0 ที่ใช้นวัตกรรม หรือเพิ่มมูลค่าการผลิตนั้น
โดยมากแล้วผู้ประกอบการต้องการแรงงานมีทักษะ ทั้งด้านความรู้เฉพาะด้านในงานผลิต
ด้านภาษา รวมทั้งด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาคการบริการ ซึ่งมีแนวโน้มว่าผู้ประกอบการขนาดใหญ่จะสามารถดึงดูดและพัฒนาแรงงานมีฝีมือเหล่านี้ได้
ในขณะที่ผู้ประกอบการ SME ที่นอกจากจะมีความยากลำบากในการตามเทคโนโลยีให้ทันแล้ว
ยังประสบปัญหาในการดึงดูดแรงงานมีทักษะเพื่อร่วมงานเดินหน้าเข้าสู่ SME 4.0
ไปพร้อมกับธุรกิจขนาดใหญ่อีกด้วย
หาก SME ไม่สามารถหาหนทางในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้กับธุรกิจได้แล้ว
ในอนาคต ผู้ประกอบการ SME ที่ก้าวไม่ทัน 4.0
ก็อาจถูกตัดออกให้ห่างจากห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจขนาดใหญ่ หรือพูดง่ายๆ คือปล่อย SME
ให้ค่อยๆ อ่อนแอไป จากยอดขายที่ลดลง
ขณะที่ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้นที่จะอยู่รอดได้ภายใต้ 4.0
ดร.
พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย เสริมว่าในยุค Thailand 4.0
ที่เทคโนโลยีกำลังก้าวไปอย่างรวดเร็วนั้น มีโอกาสและความท้าทายเกิดขึ้นมากมาย
โดยเฉพาะกับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก
ที่อาจมีทรัพยากรจำกัดในการรับมือกับกระแสของการเปลี่ยนแปลง ทั้งจากตัวโมเดลธุรกิจเอง
และการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของธุรกิจที่เกี่ยวข้องต่างๆ
จึงถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ผู้ประกอบการ SME จะต้องก้าวให้ทันกับเทคโนโลยี
เพื่อจับกระแสการเปลี่ยนแปลงการแข่งขันรอบตัว
และรักษาความสามารถในการแข่งขันทั้งภายในและภายนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการชำระเงิน
ที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วอย่างต่อเนื่อง
การจ่ายเงินด้วยเงินสดกำลังจะกลายเป็นเรื่องในอดีต ธุรกิจ SME ต้องเตรียมความพร้อมเพื่อเตรียมรับมือกับธุรกิจไร้เงินสด
และการจ่ายเงินรูปแบบใหม่ๆ
การค้าขายแบบมีหน้าร้านได้กลายเป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้ว e-commerce และ
social commerce กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
และเข้าถึงลูกค้าได้ลึกขึ้นและกว้างขึ้น ธุรกิจ SME จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ตกกระแสการโฆษณา
เพราะสื่อและการตลาดแบบเดิมๆ เริ่มจะไม่ตอบโจทย์ธุรกิจสมัยใหม่
เทคโนโลยีและสื่อสังคมออนไลน์กำลังทำให้ธุรกิจเข้าถึงลูกค้าได้แบบแม่นยำและมีประสิทธิภาพ
ทำอย่างไรสินค้าและบริการจึงจะเรียกความสนใจจากลูกค้าได้มากที่สุด
ในต้นทุนที่ถูกที่สุด การสร้างเครือข่ายระหว่างธุรกิจ SME ด้วยกัน
และเครือข่ายความสัมพันธ์กับกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ และการระดมทุนแบบใหม่ๆ
มีรูปแบบและความสำคัญกับธุรกิจ SME ไม่น้อย
ขณะที่
ดร. ชนินทร์ มโนภินิเวส วิเคราะห์ว่าในบางมุม ยุคไทยแลนด์ 4.0
นี้ ก็คือยุคที่เราต้องแข่งขันกันอย่างเข้มข้นในเวทีโลก เพราะว่าคู่แข่งนั้นก้าวกระโดดจาก
version 3.0 ของเขาเหมือนกัน ประเทศเพื่อนบ้านก็พยายามที่พัฒนาตนเองเพื่อไม่เป็นรองประเทศอื่นๆ
ทุกคนย่อมมีความต้องการที่จะพัฒนาเหนือคนอื่นๆ เมื่อหันกลับมามองประเทศไทยเองแล้ว
ช่วงที่ผ่านมานั้น การก้าวไปข้างหน้าช่างเป็นสิ่งที่ยากลำบากและท้าทายเป็นอย่างมาก
ทั้งในด้านการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ
ที่กำลังจะพยายามก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางออกไป
ซึ่งจริงๆแล้วประเทศระดับรายได้ปานกลางอื่นๆก็มีความท้าทายคล้ายๆกัน
ในการสัมมนาประจำปีเมื่อปีที่ผ่านมาเราพูดถึง
Disruptive technology และเราก็ได้พูดคุยกันถึงการเปลี่ยนแปลงการปรับตัวในภาพใหญ่
ทั้งในโครงสร้าง และในภาคอุตสาหกรรม โดยเน้นผู้ประกอบการรายใหญ่ในระดับ sub-sector
...แน่นอนที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ย่อมมีทรัพยากรที่จะพัฒนา
และเตรียมตัวเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและกำลังจะเกิดขึ้น
อย่างรวดเร็วในยุคสมัยนี้
คำถามที่ตามมาสำหรับรายย่อยคือ
จะทำอย่างไรในเมื่อตัวเองนั้นก็มีขนาดที่เล็ก และพอเพียงที่จะอยู่ได้กับปัจจุบัน
แต่อาจไม่ใหญ่เพียงพอที่จะวางแผนปรับตัวเพิ่มประสิทธิภาพในกิจการให้เข้ากับอนาคตที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเหลือเกิน
ธุรกิจรายย่อยสามารถเพิ่มมูลค่าของกิจการตัวเองโดยต้องคำนึงถึง
3 ข้อหลัก
คือ 1. การเพิ่มของทุน (capital and FDI) อาจไม่ใช่ตัวขับเคลื่อนที่สำคัญเหมือนเมื่อก่อน 2. นวัตกรรมและเทคโนโลยีดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในยุค
Thailand 4.0 มากกว่าสมัยก่อน
ในการเพิ่มมูลค่าการผลิต และ 3. นวัตกรรมที่ว่านั้นจะเป็นยาวิเศษสำหรับผู้ประกอบการได้จริงๆ
หรือ หรือยังมีเคล็ดลับอื่นๆที่จำเป็นต่อความสำเร็จ
เป็นคำถามที่
SME ต้องถามตัวเองอย่างสม่ำเสมอด้วยความเข้าใจถึงบริบทของอุตสาหกรรม
และธุรกิจของตัวเอง ประกอบกับความกล้าที่จะลองผิดลองถูก เพราะต้นทุนในการลองสิ่งเหล่านี้ถูกลงด้วยเทคโนโลยี
และบทเรียนที่มีค่ามักจะมาจากข้อผิดพลาดในอดีต SME จึงต้องกล้าที่จะผิด
และเรียนรู้จากมัน เพื่อเท่าทันความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเร็วกว่าอดีตในยุค 4.0
Comments