Corruption 4.0
ไม่ได้มีเจตนาประชด
แต่ไม่เคยเชื่อแบบคนโลกสวยเลยว่าคอร์รัปชั่นหรือการฉ้อราษฎร์บังหลวงจะหายไปจากประเทศไทย
หรือโลกใบนี้ เพราะรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่คู่กับสันดานมนุษย์ในฐานะสัตว์สังคม ต่างกันที่ดีกรีและรูปแบบของการคอร์รัปชั่น
ผมจึงต้องพึ่งนักเศรษฐศาสตร์ให้มาช่วยไขคำตอบว่าต้นทุนของมันคืออะไร
และถ้านักธุรกิจต้องอยู่กับสิ่งเหล่านี้ เราจะบริหารมันอย่างไร
ในฐานะศิษย์เก่า ผมจึงต้องกลับมากวนคณะเศรษฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะของแหล่งข้อมูลที่มีนักวิชาการชั้นนำเช่นเคย คราวนี้ได้รับเกียรติจากอาจารย์.วีระวัฒน์
ภัทรศักดิ์กำจร มาชี้ให้เราเห็นเป็นฉากๆ
อาจารย์วีระวัฒน์ปูพื้นเพื่อสร้างความเข้าใจกับคำว่า
"คอร์รัปชั่น" ซึ่งเป็นประเด็นร้อนในประเทศไทยเสมอ ยกตัวอย่างเช่น
ในแต่ละปีจะมีการประกาศค่าดัชนีการรับรู้คอร์รัปชัน (Corruption Perception
Index: CPI) ซึ่งดึงดูดความสนใจของสำนักข่าวจำนวนมาก
ดัชนีนี้มาจากการสำรวจความรู้สึกของคนในประเทศต่าง ๆ ต่อการคอร์รัปชั่น ในปี พ.ศ. 2559
ประเทศไทยได้ 35 จาก 100 คะแนน (โดย 0
หมายถึงคนรู้สึกว่าประเทศตัวเองมีคอร์รัปชั่นค่อนข้างสูง และ 100
คือค่อนข้างปลอดคอร์รัปชัน) คิดเป็นลำดับที่ 101
จาก 176 ประเทศ (หรือถ้าคิดว่ามีทั้งหมด 100
ลำดับ ประเทศไทยก็จะอยู่ประมาณที่ 58) หากเจาะลึกเป็นมูลค่า ดร.เดือนเด่น
นิคมบริรักษ์ จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (TDRI) พบว่า
ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาคอร์รัปชั่นในประเทศไทยจากกรณีใหญ่
ๆ ที่เป็นเรื่องอื้อฉาวจำนวน 110 เรื่อง
ประเมินมูลค่าความเสียหายได้ราว 9.8 แสนล้านบาท ถ้าลองคำนวณเล่น ๆ
ก็แปลว่าในแต่ละปี เงินหนึ่งร้อยบาทที่เราหาได้จะหายไปจากระบบเศรษฐกิจประมาณ 60
สตางค์
เวลาที่เราได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับคอร์รัปชั่น
บ่อยครั้งก็มักจะเกี่ยวโยงกับผลประโยชน์ของชาติในภาพกว้าง มีภาพนักการเมืองคดโกง ที่เป็นตัวการสำคัญของปัญหา
หรือเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการหาช่องว่างในการจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อหาผลประโยชน์จากส่วนต่าง
ภาพความเข้าใจเหล่านี้อาจทำให้คนทั่วไปรู้สึกว่าเรื่องคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องไกลตัว
และไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันมากนัก ทั้งที่จริงแล้ว
ปัญหาคอร์รัปชั่นส่งผลกระทบกับชีวิตของเราทุกคนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นการขอรับขอเลี่ยงบริการภาครัฐด้วยการจ่ายสินบน การใช้เส้นสายกีดกันโอกาสของผู้อื่น
รวมไปถึงเรื่องการลงทุนในสาธารณะประโยชน์
มูลค่าที่สูญหายไปนั้นก็คือทรัพยากรของพวกเราที่ถูกคนกลุ่มหนึ่งหยิบเอาไปนั่นเอง
แต่เราอาจไม่ค่อยรู้สึกตัว เพราะ 60 สตางค์จาก 100
บาท ก็คงฟังดูเล็กน้อยจนเราไม่อยากเสียเวลากับเรื่องพวกนี้ (แต่อย่าลืมว่าค่าที่คำณวณออกมานี้นับเฉพาะกรณีใหญ่
ๆ ที่เป็นเรื่องอื้อฉาวเท่านั้น)
คอร์รัปชั่นนั้นไม่ได้เป็นเรื่องระดับชาติอย่างเดียวเท่านั้น
แต่ยังรวมถึงเรื่อง “เล็ก” และใกล้ตัวกว่าที่เราคิด
เล็กในที่นี้หมายถึงขนาดความเสียหาย จำนวนคนที่เกี่ยวข้องและรับรู้ ศ.ดร.ผาสุก
พงษ์ไพจิตร คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้คำนิยามคอร์รัปชั่นไว้ว่า“คอร์รัปชั่นคือการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน
โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่หรืออำนาจที่ได้รับมอบหมายมาเป็นเครื่องมือกระทำการทุจริต
ซึ่งพฤติกรรมนั้นอาจจะผิดหรือไม่ผิดกฎหมาย แต่ขัดกับหลักจริยธรรม หรือขัดกับการคาดหวังที่สาธารณะชนมีต่อบทบาทของบุคคลสาธารณะ” ถ้ายึดนิยามนี้เป็นฐานในการทำความเข้าใจ
ก็จะพอเข้าใจได้ว่าการสถาปนา “อำนาจ” เกิดขึ้นได้ในหลายระดับภายใต้ความสัมพันธ์หลากหลายรูปแบบ
ตั้งแต่ระดับองค์กรเล็ก ๆ ไปจนถึงระดับชาติ การใช้อำนาจที่มีในทางมิชอบอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ว่าในระดับไหน
ก็นับว่าเป็นคอร์รัปชั่นเหมือนกัน
เมื่อเราเห็นแล้วว่าคอร์รัปชั่นนั้นใกล้ตัว
กว้างขวาง แต่ซับซ้อน การศึกษาด้วยข้อมูลในบางครั้งทำได้ค่อนข้างจำกัด
เพราะธรรมชาติตัวข้อมูลเรื่องคอร์รัปชั่นนั้นหายากหรือไม่สมบูรณ์ ตัวแปรบางอย่างยากจะวัดหรือตีค่า
(quantify) ออกมาได้อย่างชัดเจน
นอกจากนั้นความสัมพันธ์และการตอบสนองของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการคอร์รัปชั่นซับซ้อนไปกว่าเรื่องต้นทุน-ผลประโยชน์
ยกตัวอย่างง่าย ๆ ในสมัยที่อาจารย์ป๋วย
อึ๊งภากรณ์ เป็นคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ถ้าพบว่านักศึกษาลอกข้อสอบก็จะไล่ออกทันที
แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็พบว่าแม้จะลงโทษสถานหนักที่สุด ก็ไม่ได้ทำให้ปัญหาทุเลาลงนัก
ปัจจุบันจึงปรับลดโทษเหลือเพียงให้พักการเรียน
(สอดคล้องกับโทษประหารชีวิตที่ยังมีการบังคับใช้อยู่ในหลาย ๆ ประเทศ
แต่ไม่ได้ทำให้อัตราอาชญากรรมต่ำกว่าประเทศที่ไม่มีโทษดังกล่าว)
ดังนั้นการวิเคราะห์ในมุมมองเชิงสถาบัน เช่น จารีต ประเพณี กฎหมาย ระบบการเมือง
ในสภาพต่าง ๆ
เพื่อทำความเข้าใจว่าคอร์รัปชั่นที่ปรากฏขึ้นโดยมีปัจจัยต่อต้านและน้อมนำอย่างไร
และการวิเคราะห์ในมุมมองเชิงพฤติกรรมเชื่อว่ามนุษย์มีเหตุมีผลอย่างมีขอบเขตเท่านั้น
(bounded rationality) เมื่อมนุษย์ไม่สามารถใช้เหตุและผลได้อย่างสมบูรณ์แบบ
มนุษย์จึงตัดสินใจปะปนไปด้วยระดับเหตุผลจนถึงระดับสัญชาตญาณ
ก็จะทำให้เข้าใจปัญหาคอร์รัปชั่นได้ดียิ่งขึ้น
ยกตัวอย่างจากผลงานทีมวิจัยของ
ผศ.ดร.ธานี ชัยวัฒน์ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในภาพสังคมไทย
ทีมวิจัยลงพื้นที่สอบถามว่า “การทำความดี” และ
“คนดี” คืออะไร
พบว่าคนไทยนิยามสองคำนี้ต่างกัน “การทำความดี” โดยมากเห็นว่าเป็นการทำประโยชน์เพื่อสาธารณะ
แต่ “คนดี” คือคนที่รู้คุณ กตัญญู
และตอบแทนกับคนใกล้ชิด และการเปรียบเทียบในระดับนานาชาติ ผลการสำรวจ World
Values Survey พบว่าค่านิยมที่คนสอนลูกในแต่ละที่แตกต่างกัน
ในประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่ให้ค่ากับการเคารพสิทธิสาธารณะ
การรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และการช่วยเหลือคนแปลกหน้า
ในขณะที่ประเทศไทยให้ค่ากับการเชื่อฟังผู้ใหญ่ ความมีระเบียบวินัย
และการเรียนหนังสือสูงๆ แสดงให้เห็นความลักลั่นของคุณค่าและการเป็น “คนดี”
ในสังคมไทย
หนำซ้ำยังลดทอนความรู้สึกผิดในการเอื้อประโยชน์ให้กับคนใกล้ชิดมากกว่าสาธารณะ
ผลการศึกษาดังกล่าวชวนให้เราตั้งคำถามกับเหตุการณ์ง่าย
ๆ ที่พบเห็นได้เป็นประจำ เช่น การแซงคิวขณะรอรถไฟฟ้า ซื้ออาหาร
หรือขับรถแทรกในเลนกลับรถ
ทำไมบ่อยครั้งคนที่เข้าคิวไม่กล้าตักเตือนว่ากล่าวคนที่แซงคิว
เป็นเพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย “หยวน ๆ” กันได้
หรือไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด
ถ้าเป็นอย่างนั้นแปลว่าตัวเราเองก็กำลังช่วยสร้างวัฒนธรรมไม่ลงโทษคนผิด
และไม่สร้างค่านิยมของ “การทำความดี” ด้วยการทำสิ่งที่ถูกต้องไปพร้อม
ๆ กัน หรือลองนึกย้อนไปถึงทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย
มักมีการรณรงค์ด้วยการเปรยคำขวัญ “เลือกคนดีเข้าสภา” ปัญหาคือ
“คนดี” ในที่นี้จะเป็นคนที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับคอร์รัปชั่นหรือไม่
มีคุณลักษณะร่วมหรือแตกต่างกันอย่างไร และที่สำคัญคือ “คนดี”
คือคนที่คำนึงถึงสิทธิ ประโยชน์สาธารณะ หรือทำเพื่อพวกพ้อง
จากตัวอย่างข้างต้น
น่าจะทำให้พอเห็นภาพได้ว่าคอร์รัปชั่นไม่ได้เป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่สภาพแวดล้อม
บรรยากาศ วิถีชีวิต รวมถึงบรรทัดฐานต่างๆ ในสังคมล้วนมีส่วนสำคัญต่อการกำหนดพฤติกรรมทั้งสิ้น
ภาพความเข้าใจนี้อาจมาพร้อมกับความยากลำบากในการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น
ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้พลังและเวลามหาศาล โชคดีที่หลายๆ
ประเทศบนโลกมีบทเรียนแห่งความสำเร็จให้เราเรียนรู้และเดินตามได้มากมาย
บทเรียนเหล่านั้นชี้ไปยังวิถีประชาธิปไตยที่คนจำนวนมากมีส่วนร่วมในการคัดง้างและตรวจสอบ
ความสำเร็จในการตัดตอนคอร์รัปชั่น สุดท้ายก็จะกลับมาในรูปแบบทางเศรษฐกิจแทบทั้งสิ้น
เพราะคนรู้สึกว่าสิทธิของตนได้รับความคุ้มครอง เกิดความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย
และต้นทุนที่ต้องจ่ายไปโดยสูญเปล่าน้อยลง บรรยากาศในสังคมในการประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจย่อมดีขึ้นเป็นลำดับถัดมา
คำถามสุดท้ายจึงถูกโยนกลับมาที่ประชาชนที่เป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงแล้วว่า
เราเลือกจะอยู่ในสังคมแบบใด
Comments